แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มอญบ้านหนองดู่ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มอญบ้านหนองดู่ แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชุมชนมอญกลุ่มสุดท้ายในลำพูน บ้านหนองดู่ – บ้านบ่อคาว


บ้านหนองดู่ – บ้านบ่อคาว

ชุมชนมอญกลุ่มสุดท้ายในลำพูน
----------------- 

อาทิตย์นี้ตาม “พันแสงรุ้ง” ขึ้นเหนือ ไปกันที่ดินแดนหริภุญชัย จ.ลำพูน ตามร่องรอยอารยธรรมมอญที่เคยยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองในแถบนี้

ทุกวันนี้คนมอญที่ลำพูนมีอยู่ไม่ถึง ๑,๐๐๐ คน นับวันก็ยิ่งจะถูกกลืนไปกับคนพื้นเมืองกลุ่มอื่นๆ แต่นับว่าโชคดีที่มีลูกหลานมอญกลุ่มหนึ่งพยายามรักษาและช่วยกันฟื้นฟูกอบกู้จิตวิญญาณมอญให้กลับคืนมา

ทำไม? คนมอญที่ลำพูนถึงลุกขึ้นมาต่อลมหายใจความเป็นมอญของตัวเอง

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในสังคมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเค้าจะทำอย่างไร?

ชุมชนคนมอญแห่งเมืองหริภุญชัยกลุ่มสุดท้ายที่ยังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่วัดเกาะกลางแห่งนี้น่าจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการสืบค้นอดีต แม้ว่าคนมอญส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนี้จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตให้เข้ายุคสังคมในปัจจุบันไปแล้วก็ตาม แต่ด้วยสายเลือดของคนมอญที่ฝังรากอยู่ในมโนสำนึกแล้วทุกๆ ปีชาวบ้านเกาะกลางจะจัดงานเทศกาล “ฟ้อนผีเม็ง” ซึ่งเป็นวัฒนธรรมเดียวที่ยังถูกถ่ายทอดมาจนถึงลูกหลานเป็นการสานต่อวัฒนธรรมของพวกเขาไว้ไม่ให้สูญสลาย

มีหลักฐานเอกสารยืนยันว่า คนมอญมาจากเมืองตะแลงคนาซึ่งอยู่ในแถบอินเดียตอนใต้ ก่อนจะอพยพย้ายมาอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดี เมืองหงสาวดี แล้วตั้งเป็นอาณาจักรขึ้นเรียกว่า อาณาจักรพยู ตอนหลังถูกพม่าเข้ารุกรานและได้อพยพหนีเข้ามาอยู่ในสยาม โดยเข้ามาตั้งรกรากครั้งแรกที่บริเวณจังหวัดนครปฐม ต่อมาได้กระจายออกไปตามที่ต่างๆ ในประเทศ

นอกจากนี้ยังมีการขุดพบหลักฐานที่นครปฐมเป็นเหรียญเงินซึ่งปรากฏอักษรมอญไว้ว่า เย ธมฺมา ศรีทวารวติ ซึ่งก็ไปสอดคล้องกับชื่อของเมืองทวารวดี ทำให้ทราบว่ากลุ่มคนมอญเคยมีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนในสมัยทวารวดีเมื่อก่อนศตวรรษที่ ๑๕

สำหรับกลุ่มคนมอญที่เข้ามาอยู่ในหริภุญชัย สันนิษฐานว่าเข้ามาเมื่อราวศตวรรษที่ ๑๖ ปัจจุบันยังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่วัดเกาะกลาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ซึ่งน่าจะเป็นคนมอญกลุ่มสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่

ชุมชนมอญบ้านหนองดู่-บ้านบ่อคาว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง ในเขต อ.ป่าซาง จ.ลำพูน เป็นชุมชนมอญอีกแห่งหนึ่งที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณี รวมถึงสำเนียงเสียงภาษามอญ แม้ว่าชุมชนบ้านหนองดู่-บ้านบ่อคาว จะเป็นชุมชนมอญขนาดเล็ก แต่ก็รักษาขนบประเพณีมอญเอาไว้เป็นอย่างดี

ความเชื่อของชาวมอญที่นี่ พวกเขาเชื่อว่าอพยพมาจากเมืองมอญ ในประเทศพม่าโดยตรง

อย่างไรก็ตามนักวิชาการหลายท่านสันนิษฐานว่า ชาวมอญบ้านหนองดู่-บ้านบ่อคาว สืบเชื้อสายมาจากชาวมอญในสมัยหริภุญชัย พร้อมๆ กับการกำเนิดของพระนางจามเทวี

ตามตำนานโยนกนคร กล่าวว่า พระนางจามเทวีทรงสมภพเมื่อเวลาจวนจะค่ำ วันพฤหัสบดี เดือน ๕ ปีมะโรง ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ปี พ.ศ.๑๑๗๖ โดยประสูติที่บ้านหนองดู่ (นครบุรพนคร) เป็นชาวเมงคบุตร ดังนั้นชาวมอญที่นี่จึงนับถือพระนางจามเทวีเป็นเสมือนบรรพบุรุษ และทุกปีจะมีพิธีบวงสรวงวิญญาณเจ้าแม่จามเทวี อันเป็นประเพณีที่ชาวมอญยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา ซึ่งจะทำพิธีภายในเดือน ๔ ของมอญ (ปอน=๔) เดือน ๕ ของล้านนา หรือราวเดือนกุมภาพันธ์

เอกลักษณ์ของชาวมอญบ้านหนองดู่-บ้านบ่อคาวที่ยังคงสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันก็คือ การแต่งกายและภาษา คนมอญนิยมเรียกตนเองว่า เมง การแต่งกายของคนเมงคือ ผู้ชายจะใส่โสร่ง มีผ้าขาวม้าคาดบ่า สวมเสื้อคอมน ผู้หญิงจะใส่ชุดลูกไม้สีชมพู หากแต่ปัจจุบันการแต่งกายจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือ ใส่โสร่ง การแต่งกายแบบมอญจะมีในโอกาสพิเศษเท่านั้น เช่น งานวันบวงสรวงเจ้าแม่จามเทวี วันเปิงสังกรา (วันสงกรานต์) วันลอยหะมด (วันลอยกระทง) และวันฟ้อนผีเท่านั้น

ส่วนภาษาของชาวมอญก็ยังคงมีการสื่อสารกันอยู่ โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ ทว่าปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่ได้ให้ความสนใจในการพูด เขียนภาษามอญมากยิ่งขึ้น

ในรายงานวิชาการเรื่องการขุดแต่งเจดีย์ประธานวัดเกาะกลาง โดยวิวรรณ แสงจันทร์ นักโบราณคดีอิสระ กล่าวถึงวัดเกาะกลางว่า

“เดิมเป็นวัดร้างตั้งอยู่กลางทุ่งนาในเขตบ้านบ่อคาว ต.บ้านเรือน อ.ป่าซาง จ.ลำพูน วัดนี้มีเรื่องเล่าเชิงมุขปาฐะสืบต่อมาว่า เป็นวัดที่สร้างโดยเศรษฐีอินตา เชื้อสายมอญซึ่งเป็นบิดาของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญชัย ต่อมาถูกทิ้งร้างโดยไม่ทราบสาเหตุ”

วัดเกาะกลางในอดีตเคยเป็นวัดของคนมอญสร้างขึ้นอยู่กลางน้ำ รอบๆ วัดเป็นหนองน้ำกว้างใหญ่ จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๑๗ พระมหาสงวน ปัญญา วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ พระมหาดวงจันทร์ เขียวพันธ์ วัดพระศรีมหาธาตุ กรุงเทพฯ และพระอุดม บุญช่วย จากวัดหนองดู่ ลำพูน ได้เข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัดเกาะกลางซึ่งเป็นวัดร้างและมีโบราณสถานอยู่เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันวัดเกาะกลางเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่


เมื่อเดินทางเข้ามาในวัดจะพบกับโบราณสถานที่สำคัญซึ่งเป็นเจดีย์ประธานทรงล้านนาที่มีลวดลายปูนปั้นค่อนข้างชัดเจนมาก ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นเจดีย์ทรงปราสาทยอดระฆัง สร้างขึ้นบนฐานเขียงสี่เหลี่ยม องค์เรือนธาตุแต่ละด้านมีซุ้มจรนำยื่นออกมาจนมีลักษณะเป็นมุข ที่เสากรอบมุขและหลังคาประดับด้วยลวดลายปูนปั้นรูปพรรณพฤกษา

จากลวดลายปูนปั้นของเจดีย์องค์นี้เรียกได้ว่า น่าจะเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่จะสามารถสืบค้นอายุของเจดีย์ได้ ลวดลายพรรณพฤกษาและลายเมฆไหลที่พบประดับกรอบซุ้มจรนำด้านเหนือของเจดีย์ประธานวัดเกาะกลางนั้น เป็นงานประติมากรรมฝีมือช่างสกุลล้านนาที่มีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับการรับเอาพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์มาจากสุโขทัย ดังนั้นนักโบราณคดีจึงสันนิษฐานว่า ประติมากรรมปูนปั้นที่ประดับองค์เจดีย์ประธาน เป็นประติมากรรมที่เกิดขึ้นในช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๐ หรือหลังสิ้นแผ่นดินพระเจ้าติโลกราช

นอกจากนี้รอบๆ วัดเกาะกลางยังปรากฏเจดีย์ต่างๆ และโบราณสถานอีกกว่า ๗ แห่ง โดยเฉพาะเจดีย์หมายท่าที่อยู่ปากทางเข้าวัด เจดีย์หมายท่านี้น่าจะหมายถึงท่าน้ำบ้านหนองดู่ ที่ด้านหน้าวัดยังมีเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมมีเสาแกนกลางเพื่อรับน้ำหนักซึ่งไม่เคยปรากฏรูปแบบที่ใดมาก่อนตั้งอยู่บนเนินดิน ในวัดยังมีซุ้มประตู ฐานอุโบสถและรากหรือฐานกำแพงวัดตลอดจนสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ เป็นเศษอิฐจมอยู่ใต้ดินเป็นจำนวนมาก

กลุ่มโบราณสถานภายในวัดเกาะกลางที่พบ แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มคือ

กลุ่มโบราณสถานที่อยู่ภายในบริเวณวัด

กลุ่มโบราณสถานที่อยู่รอบๆ วัด

รูปแบบของโบราณสถานที่ปรากฏอยู่ในวัดเกาะกลาง เป็นศิลปกรรมล้านนาคือตัวเจดีย์เป็นทรงมณฑปแบบล้านนา ข้างล่างเป็นฐานจัตุรมุข ข้างบนเป็นทรงระฆังคว่ำ ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน แต่ยังไม่ได้เข้ามาบูรณะซ่อมแซม

ชุมชนคนมอญแห่งเมืองหริภุญไชยกลุ่มสุดท้ายที่ยังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่วัดเกาะกลางแห่งนี้ น่าจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการสืบค้นอดีต แม้ว่าคนมอญส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนี้จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตให้เข้ายุคสังคมในปัจจุบันไปแล้วก็ตาม แต่ด้วยสายเลือดของคนมอญที่ฝังรากอยู่ในมโนสำนึกแล้ว ทุกๆ ปีชาวบ้านบ่อคาว วัดเกาะกลาง จะจัดงานเทศกาลฟ้อนผีเม็งซึ่งเป็นวัฒนธรรมเดียวที่ยังถูกถ่ายทอดมาจนถึงลูกหลาน เป็นการสานต่อวัฒนธรรมของพวกเขาชาวมอญ “หนึ่งเดียวในจังหวัดลำพูน” ไว้ไม่ให้สูญสลาย

 ***********
จักรพงษ์  คำบุญเรือง
jakrapong@chiangmainews.co.th.
ที่มา http://www.chiangmainews.co.th/page/?p=๔๒๔๘๘
ภาพจาก http://www.peace.mahidol.ac.th/th/index.php?option=com_content&task=view&id=๖๒๙&Itemid=๑๗๒

 

วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ชุมชนมอญในประเทศไทย - มอญบ้านหนองดู่ จ.ลำพูน


ชุมชนมอญในประเทศไทย - มอญบ้านหนองดู่ จ.ลำพูน

มอญบ้านหนองดู่
องค์ บรรจุน
------------------------

ชุมชนมอญ บ้านหนองดู่ – บ้านบ่อคาว ริมแม่น้ำปิง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เป็น "ชุมชนมอญ" อีกแห่งหนึ่ง ที่ยังมีวัฒนธรรมประเพณี และสำเนียงเสียงรามัญที่ไม่เคยเงียบหายไปจากหมู่บ้าน แม้ในถ้อยคำเหล่านั้นจะมี เจ้าปะปน ก็เป็นไปตามสภาวะที่ชาวมอญในเมืองไทยทุกชุมชนกำลังประสบกัน
โดยทั่วไป เพราะได้รับเอาวัฒนธรรมไทย เข้าไปผสมผสานในชีวิตประจำวัน ชุมชนมอญบ้านหนองดู่ เป็นชุมชนมอญขนาดเล็ก แต่ทว่ายังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณีมอญเอาไว้ได้อย่างดี ชาวบ้านยังคงใช้ภาษามอญ ในการสนทนา ในชีวิตประจำวัน มีวัดมอญในชุมชน ได้แก่ วัดหนองดู่ และวัดเกาะกลาง

 
เจดีย์โบราณวัดเกาะกลาง

ปัญหาสำคัญข้อหนึ่งของ ชุมชนมอญ บ้านหนองดู่ บ้านบ่อคาว ก็คือ ไม่มีการจดบันทึกประวัติศาสตร์ ของชุมชนเอาไว้อย่างชัดเจน ทำให้ไม่สามารถสืบค้นได้ว่า ชาวมอญที่นี่ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร อพยพมาจากเมืองมอญ (ประเทศพม่า) โดยตรง หรือโยกย้ายมาจากภาคกลางของประเทศไทย
แต่หลายท่านสันนิษฐานว่า ชาวมอญบ้านหนองดู่ สืบเชื้อสายมาจากชาวมอญ ในสมัยหริภุญไชย พร้อมๆ กับการกำเนิด ของพระนางจามเทวี ตามตำนานโยนก กล่าวถึงการกำเนิดของพระนางจามเทวี ดังนี้
พระนางจามเทวี ทรงสมภพเมื่อเวลาจวนจะค่ำ วันพฤหัสบดี เดือน ๕ ปีมะโรง ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ปี พ.ศ. ๑๑๗๖ โดยประสูติที่บ้านหนองดู่ (นครบุรพนคร) อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เป็นชาวเมงคบุตร (มอญ)คัดจากหนังสือ พระนางจามเทวี: กำเนิดพระนางจามเทวี, หน้า ๑๕)

 
หลักศิลาจารึกที่เป็นภาษามอญ
 
สิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า อาณาจักรหริภุญไชย และพระนางจามเทวีเป็นมอญหรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งคงดูได้จาก ศิลาจารึกที่ขุดค้นได้ในอาณาจักรแห่งนี้กว่า ๓๐ หลัก (ปัจจุบันแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วัดมหาวัน จ.ลำพูน) ซึ่งจารึกด้วยภาษามอญทั้งสิ้น ส่วนหลักฐานทางประวัติศาตร์ที่สำคัญ ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่า ชาวหนองดู่ สืบเชื้อสายมาจากชาวมอญ ในยุคพระนางจามเทวีก็คือ พระเจดีย์โบราณวัดเกาะกลาง ตำบลบ้านเรือน ที่ตำนานระบุว่า พระนางจามเทวีได้สร้างไว้ เมื่อเดินทางมาจากลพบุรี และแวะพักที่วัดเกาะกลางแห่งนี้ ก่อนเสด็จยังเมืองหริภุญไชย เพื่อเสวยราชย์เป็นปฐมกษัตริย์ และภายในวัดเกาะกลาง ยังมีพิพิธภัณฑ์พระนางจามเทวีอีกด้วย
วัดหนองดู่ วัดเกาะกลาง เป็น วัดมอญ ที่ยังคงอนุรักษ์ความเป็นมอญไว้ได้อย่างเข้มแข็ง ชาวบ้านยังใช้ภาษามอญ รวมทั้งพระสงฆ์ก็ยังคงสวดมนต์ด้วยภาษาและสำเนียงมอญ ภายในวัด ก่อสร้างด้วยศิลปกรรมแบบมอญผสมผสานล้านนาไทย มีเสาหงส์ และจารึกอักษรมอญไว้ที่ฐานเสาด้วยสวยงาม
--------------

(เขียนโดย:                                njoy เมื่อ อังคาร, 02/17/2009 - 21:18. | in มอญ (Mon) ภาคเหนือ ชาวไทยเชื้อสายมอญ ชุมชน มอญ

วันที่เอกสารถูกสร้าง:                  17/02/2009

ที่มา:                                       http://www.monstudies.com)

------------------------

Monlamphun ขอขอบพระคุณทุกๆ เว็บไซต์ ทุกๆ บทความที่ได้เผยแพร่เกียรติประวัติ เกียรติคุณของ
มอญบ้านหนองดู่-มอญบ้านบ่อคาว ซึ่ง แว่น มัฆวาน ในฐานะที่เป็นลูกหลานเม็งคะบุตร เห็นว่ากระจัดกระจายกันอยู่หลายที่หลายแห่ง
จึงได้รวบรวมนำมาเสนอไว้ ณ ที่นี้ เพื่อให้อนุชนได้ทราบ และเป็นการย้ำเตือนความทรงจำของ

มอญบ้านหนองดู่ - มอญบ้านบ่อคาว
   
ซึ่งเป็น...

หนึ่งเดียวในจังหวัดลำพูน

หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ผิดพลาด หรือไม่ถูกต้อง ขอท่านผู้รู้ทั้งหลาย กรุณาแนะนำ ติชม เพื่อที่จะได้แก้ไข
ให้ถูกต้องต่อไป....
อีกทั้งเรื่องราวเรื่อง บางตอน บางบทความ ไม่ได้บอกที่มาของข้อมูลเหล่านั้น

กราบขออภัย และกราบขอบพระคุณ..มา ณ ที่นี้ด้วย

"แว่น มัฆวาน"

 

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

มอญบ้านหนองดู่


มอญบ้านหนองดู่

ชุมชน มอญ บ้านหนองดู่ ริมแม่น้ำปิง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เป็น ชุมชนมอญอีกแห่งหนึ่งที่ยังมีวัฒนธรรมประเพณี และสำเนียงเสียงรามัญที่ไม่เคยเงียบหายไปจากหมู่บ้าน แม้ในถ้อยคำเหล่านั้นจะมีเจ้าปะปนอยู่ ก็เป็นไปตามสภาวะที่ชาวมอญในเมืองไทยทุกชุมชนกำลังประสบกัน
 
โดยทั่วไป เพราะได้รับเอาวัฒนธรรมไทย เข้าไปผสมผสานในชีวิตประจำวัน ชุมชนมอญบ้านหนองดู่ เป็นชุมชนมอญขนาดเล็ก แต่ทว่ายังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณีมอญเอาไว้ได้อย่างดี ชาวบ้านยังคงใช้ภาษามอญ ในการสนทนาในชีวิตประจำวัน มีวัดมอญในชุมชน ได้แก่ วัดหนองดู่ และ วัดเกาะกลาง


 
เจดีย์โบราณวัดเกาะกลาง

ปัญหาสำคัญข้อหนึ่งของ ชุมชนมอญ บ้านหนองดู่ก็คือ ไม่มีการจดบันทึกประวัติศาสตร์ ของชุมชนเอาไว้อย่างชัดเจน ทำให้ไม่สามารถสืบค้นได้ว่า ชาวมอญที่นี่ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร อพยพมาจากเมืองมอญ (ประเทศพม่า) โดยตรง หรือโยกย้ายมาจากภาคกลางของประเทศไทย


 
แต่หลายท่านสันนิษฐานว่า ชาวมอญบ้านหนองดู่ สืบเชื้อสายมาจากชาวมอญในสมัยหริภุญไชย พร้อมๆ กับการกำเนิดของพระนางจามเทวีตามตำนานโยนก กล่าวถึงการกำเนิดของพระนางจามเทวี ดังนี้
 
พระนางจามเทวี ทรงสมภพเมื่อเวลาจวนจะค่ำ วันพฤหัสบดี เดือน ๕ ปีมะโรง ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ปี พ.ศ.๑๑๗๖ โดยประสูติที่บ้านหนองดู่ (นครบุรพนคร) อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เป็นชาวเมงคบุตร (มอญ)(คัดจากหนังสือ พระนางจามเทวี: กำเนิดพระนางจามเทวี, หน้า ๑๕)
 
สิ่งที่สามารถพอจะพิสูจน์ได้ว่า อาณาจักรหริภุญไชย และพระนางจามเทวีเป็นมอญหรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งคงดูได้จาก ศิลาจารึกที่ขุดค้นได้ในอาณาจักรแห่งนี้กว่า ๓๐ หลัก (ปัจจุบันแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วัดมหาวัน จ.ลำพูน) ซึ่งจารึกด้วยภาษามอญทั้งสิ้น
 
ส่วนหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่า ชาวหนองดู่ สืบเชื้อสายมาจากชาวมอญ ในยุคพระนางจามเทวีก็คือ
พระเจดีย์โบราณวัดเกาะกลาง บ้านหนองดู่ (ปัจจุบัน แยกการปกครองออกเป็น ๒ หมู่บ้านคือ บ้านหนองดู่ และ บ้านบ่อคาว) ที่ตำนานระบุว่า พระนางจามเทวีได้สร้างไว้ เมื่อเดินทางมาจากลพบุรี และแวะพักที่วัดเกาะกลางแห่งนี้ ก่อนเสด็จยังเมืองหริภุญไชย เพื่อเสวยราชย์เป็นปฐมกษัตริย์ และภายในวัดเกาะกลาง ยังมีพิพิธภัณฑ์พระนางจามเทวีอีกด้วย ปัจจุบันกรมศิลปากรได้จดทะเบียนให้
วัดเกาะกลางเป็นโบราณสถาน และกำลังสืบค้นหาประวัติที่แน่นอน
 
วัดหนองดู่ และวัดเกาะกลาง (วัดใหม่และวัดเก่า) เป็นวัดมอญ ที่ยังคงอนุรักษ์ความเป็นมอญไว้ได้อย่างเข้มแข็ง ชาวบ้านยังใช้ภาษามอญ รวมทั้งพระสงฆ์ก็ยังคงสวดมนต์ด้วยสำเนียงมอญ ภายในวัดก่อสร้างด้วยศิลปกรรมแบบมอญผสมผสานล้านนาไทย มีเสาหงส์ และจารึกไว้ที่ฐานเสาด้วยอักษรมอญสวยงาม
 
************
ที่มาของพระราชประวัตินี้

. ชินกาลมาลีปกรณ์ ฉบับหอสมุดแห่งชาติ
. สังคีติยวงศ์
. จามเทวีวงศ์
(คัดลอกจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดลำพูน-บ้านมอญหนองดู่-www.monstudies)


*************

Monlamphun ขอขอบพระคุณทุกๆ เว็บไซต์ ทุกๆ บทความที่ได้เผยแพร่เกียรติประวัติ เกียรติคุณของ
มอญบ้านหนองดู่-มอญบ้านบ่อคาว ซึ่ง แว่น มัฆวาน ในฐานะที่เป็นลูกหลานเม็งคะบุตร เห็นว่ากระจัดกระจายกันอยู่หลายที่หลายแห่ง จึงได้รวบรวมนำมาเสนอไว้ ณ ที่นี้ เพื่อให้อนุชนได้ทราบ และเป็นการย้ำเตือนความทรงจำของ
มอญบ้านหนองดู่ - มอญบ้านบ่อคาว
   
ซึ่งเป็น...
หนึ่งเดียวในจังหวัดลำพูน

หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ผิดพลาด หรือไม่ถูกต้อง ขอท่านผู้รู้ทั้งหลาย กรุณาแนะนำ ติชม เพื่อที่จะได้แก้ไข
ให้ถูกต้องต่อไป....
ขอกราบขอบพระคุณ..

"แว่น มัฆวาน"

วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

มอญ ชนชาติที่โลกลืม


มอญ... ชนชาติที่โลกลืม


ประวัติความเป็นมาของเม็งในพื้นที่หนองดู่-บ่อคาว และกอโชค-หนองครอบ จากการบอกเล่าของพ่อหนานบุญมี ศรีสถิตย์ธรรม ปราชญ์ชาวบ้านทั้งทางวัฒนธรรมและภาษามอญ ได้อธิบายว่า เม็งที่หนองดู่-บ่อคาว และกอโชค-หนองครอบ เป็นชุมชนมอญที่อาศัยอยู่ที่นี่ (ริมฝั่งน้ำปิง) มาหลายชั่วอายุคนแล้ว ทั้งยังได้มีคนมอญ/เม็งจากที่อื่นๆ เดินทางเข้ามาอาศัยกับคนเม็งที่อยู่เดิม โดยอาจจะเป็นญาติ หรือเป็นคนเม็งเช่นเดียวกัน ต่อมาจึงทำให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นชุมชนคนเม็งไปโดยปริยาย

จากการให้ข้อมูลของพ่อหนานบุญมีนั้น ได้สอดคล้องกับการเสด็จล่องลำน้ำปิงของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ที่ได้ทรงแวะบ้านมอญหนองดู่ …“ได้ออกเรือแวะบ้านหนองดู่ เป็นบ้านมอญ ได้ความว่าอพยพขึ้นมาจากทางใต้ได้สัก ๓ ชั่วคน เดี๋ยวนี้มีมอญประมาณ ๑๒๐ คน (พ.ศ. ๒๔๖๔) มีวัดโบราณ ๒ วัด วัดดอนเรียกว่า วัดเดิม มีพระเจดีย์ก่ออิฐฐานสี่มุม พระเจดีย์กลมลายปั้นงาม ทำนองจะเป็นวัดหลวง อีกวัดอยู่ริมแม่น้ำเป็นวัดเก่าปฏิสังขรณ์ใหม่...บ้านหนองดู่มีนิทานเล่ากันว่าเป็นบ้านเศรษฐี ซึ่งเป็นบิดาของนางจามเทวี เดิมจะยกนางจามเทวีให้แก่บุตรเศรษฐีบ้านหนองเหวี่ยงแต่ทีหลังกลับคำ เพราะเห็นบุตรเศรษฐีบ้านหนองเหวี่ยงรูปชั่ว บิดาทั้งสองฝ่ายจึงวิวาทกัน...พระอินทร์จึงให้พระวิสุกรรมมารับนางไปถวายพระฤๅษีวาสุเทพ พระฤๅษีจึงชุบนางให้งามยิ่งขึ้น แล้วส่งไปถวายเป็นธิดาเจ้ากรุงละโว้

ชาวมอญทำพิธีบวงสรวงพระแม่จามเทวี

ได้มีการกล่าวสวดทั้งภาษาไทยและมอญ ในส่วนของชาวบ้านต่างเชื่อว่า ที่ชุมชนบ่อคาวเป็นสถานที่ประสูติของพระนางจามเทวี (ปฐมกษัตรีย์แห่งนครหริภุญชัย หรือลำพูน) และเป็นบ้านเศรษฐีอินตา บิดาของพระนาง ดังจะเห็นได้จากการที่มีโบราณสถานภายในชุมชนหนองดู่-บ่อคาว รวมถึงภายในวัดเกาะกลางด้วย ประกอบกับตำนานจามเทวีวงศ์ที่กล่าวถึงเมืองหริภุญชัย ว่าประมาณสมัยพระยาจุเลระราช (๑๕๙๐-จ.ศ.๓๐๙) ได้เกิดอหิวาตกโรค ชาวเม็งจึงได้ลี้ภัยไปอยู่ที่สะเทิมและหงสาวดี หลังจากโรคร้ายสงบ จึงได้กลับมาหริภุญชัยตามเดิม ซึ่งในเนื้อหาตำนานจามเทวีวงศ์ ก็ยิ่งตอกย้ำทำให้คนเม็งในชุมชนดังกล่าว เชื่อว่าตนเองเป็นเม็งที่มีเชื้อสายมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี และอยู่ที่นี่มาช้านาน ด้วยปัจจัยเหล่านี้ชาวเม็งจึงได้นำเอาพระนางจามเทวีมาเป็นบรรพบุรุษของตน

จากความเป็นมาของเม็งหนองดู่-บ่อคาวทั้งที่พ่อหนานบุญมี ชาวบ้านและเอกสารต่างๆ ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่มาที่แน่นอนของคนเม็งในพื้นที่ดังกล่าวได้ หากอาจจะกล่าวในภาพรวมว่าเป็นคนเม็งที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมานานเป็นสำคัญ

จากการที่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวมาเป็นเวลานาน ทั้งยังเป็นชุมชนเม็งที่แวดล้อมไปด้วยคนยอง และคนเมือง จึงเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้ความเป็นเม็ง ซึ่งแต่เดิมมีให้เห็นกันมากได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าในเรื่องของวัฒนธรรม การแต่งกาย ภาษา อาหาร เป็นต้น ทั้งนี้ในการเปลี่ยนแปลง ย่อมที่จะต้องมีสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมตกค้างสืบต่อกันมาถึงปัจจุบันเป็นแน่

ชุมชนเม็งหนองดู่-บ่อคาว ยังคงพยายามที่จะอนุรักษ์ และสืบสานประเพณีและวัฒนธรรมต่างๆ ของเม็งไว้ให้มากที่สุด ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ในปัจจุบันอาจจะถูกลดความสำคัญลงไปบ้าง ทั้งนี้ก็เนื่องจากพลวัตรการเปลี่ยนแปลงในสังคมเป็นเหตุ

ความเป็นเม็งสิ่งแรกที่เดินทางมาถึงในชุมชน นั่นก็คือ วัด กล่าวคือ วัดในชุมชนเม็งหนองดู่-บ่อคาว มีอยู่ ๒ วัดด้วยกัน คือ วัดหนองดู่ ตั้งใกล้ริมฝั่งน้ำปิง และวัดเกาะกลาง อยู่ในพื้นที่บ้านบ่อคาว โดยวัดหนองดู่เปลี่ยนจากมหานิกายมาเป็นธรรมยุตในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ส่วนวัดเกาะกลาง เดิมเป็นวัดร้างตั้งแต่สมัยโบราณ ได้มีพระภิกษุเข้าจำพรรษาและพัฒนาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ พระภิกษุที่จำพรรษาในวัดส่วนใหญ่จะเป็นคนเม็งในพื้นที่ หรือไม่ก็เป็นพระสายธรรมยุตเป็นสำคัญ และสัญลักษณ์ที่สำคัญของวัดมอญ ก็คือ การมีเสาหงส์หน้าวิหาร เพราะชาวเม็งโดยทั่วไปเชื่อกันว่า หงส์ คือสัญลักษณ์ของพวกตน ทั้งวัดหนองดู่ และ วัดเกาะกลาง ถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมทั้งจิตใจ และกิจกรรมประเพณีต่างๆ ของเม็งไว้ทั้งสิ้น

นอกจากวัดจะเป็นสัญลักษณ์ภาพรวมที่บ่งบอกถึงความเป็นเม็งได้ในจุดหนึ่งแล้ว วัฒนธรรมประเพณี ยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะเป็นตัวอธิบายความเป็นมอญได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ประเพณีมอญที่ชาวเม็งหนองดู่-บ่อคาวยังคงพยายามปฏิบัติ เพื่อต้องการอนุรักษ์ไว้ คือ

การบวงสรวงเจ้าแม่จามเทวี

ในพิธีการบวงสรวงเจ้าแม่จามเทวีนั้น ชาวเม็งในพื้นที่กล่าวว่าจะมีการบวงสรวงภายในเดือน ๔ ของมอญ (ปอน= ๔) เดือน ๕ ของเหนือ/คนเมือง หรือเดือน ๒ (กุมภาพันธ์)ของไทย เป็นประจำทุกปี ในส่วนของวันบวงสรวงจะไม่เจาะจง เพราะแล้วแต่ความสะดวกของคนในชุมชนเป็นที่ตั้ง เหตุที่มีการบวงสรวงก็เนื่องจากเป็นการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษของตน ทั้งนี้เพราะชาวบ้านเชื่อว่าพระนางจามเทวีเป็นบรรพบุรุษของคนเม็งที่หนองดู่-บ่อคาว ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว การบวงสรวงจะทำกันที่บริเวณลานเจ้าแม่จามเทวี ในตัวอำเภอเมืองลำพูน ซึ่งกลุ่มคนที่เป็นคนเม็งที่เข้าร่วมในพิธีดังกล่าว ไม่ใช่เฉพาะเม็งที่หนองดู่-บ่อคาว แต่ยังหมายรวมถึงชาวเม็งที่อยู่กระจัดกระจายในพื้นที่ลำพูน-เชียงใหม่อีกด้วย ในด้านการอำนวยความสะดวกในเรื่องสถานที่และการจัดงานนั้น ได้รับการสนับสนุนและร่วมมือจากองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเรือน อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน แทบทุกปี เพราะในส่วนของ อบต.บ้านเรือน ก็ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรมของเม็งไว้ให้คงอยู่เช่นเดียวกัน

การฟ้อนผีเม็ง

หนึ่งในพิธีกรรมของคนมอญ ซึ่งแสดงถึงความเคารพต่อผีบรรพบุรุษ (ผีปู่ย่า) ในการฟ้อนผีเม็งจะมีวงปี่พาทย์มอญบรรเลงประกอบอยู่ตลอดเวลา

ขบวนมอญบ้านหนองดู่-บ่อคาว ในงานลอยหะมด (ภาษามอญ คำว่า หะมด แปลว่าไฟ หมายถึงการลอยกระทง) จะมีการสืบสานการแต่งกายแบบมอญในส่วนวัฒนธรรมเรื่องของอาหารนั้น ชาวเม็ง มีอาหารที่ขึ้นชื่อที่สำคัญ คือ ขนมจีน หรือขนมเส้น อาหารดังกล่าวนี้ได้บ่งบอกถึงความเป็นอยู่ของชาวเม็งได้เป็นอย่างดี เพราะชาวเม็งมักจะอาศัยใกล้แหล่งน้ำเนื่องจากส่วนประกอบในการทำขนมจีนจะต้องใช้น้ำ ในอดีตแทบทุกบ้านจะมีการทำขนมเส้น ทั้งรับประทานเอง และไว้ขาย หากแต่ปัจจุบัน การทำขนมจีน เหลืออยู่น้อยรายมาก แต่ผู้ที่ทำนอกจากจะเป็นการประกอบอาชีพหารายได้ถึงแม้ไม่ร่ำรวยให้พวกเขาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังภูมิใจที่เป็นผู้มีส่วนแห่งการอนุรักษ์อาหารของคนเม็งให้คนเม็งได้ชื่นชมอีกทางหนึ่ง ซึ่งนอกจากอาหารคาว คนเม็งยังนิยมทำขนม ซึ่งขนมของคนเม็งที่เห็นและยังเป็นที่รู้จักของชุมชนในปัจจุบัน คือ ขนมปาด รวมถึงข้าวแช่

การแต่งกาย

คนเม็งจะมีการแต่งกาย คือ ผู้ชายจะใส่โสร่ง มีผ้าขาวม้าคาดบ่า เสื้อคอมน ส่วนผู้หญิงจะใส่ชุดลูกไม้สีชมพู หากแต่ปัจจุบันการแต่งกายโดยเฉพาะของผู้ชายจะมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปบ้าง คือ ใส่เสื้ออะไรก็ได้ แต่ที่ขาดไม่ได้เลย คือ โสร่ง ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงก็ยังคงเป็นผ้าลูกไม้สีชมพู บ้างก็มีสีส้ม และสีขาว ทั้งนี้ในการแต่งกายแบบมอญนั้น หาได้แต่งเป็นชีวิตประจำวัน พวกเขาจะแต่งเฉพาะวันสำคัญ หรืองานพิเศษ เช่น วันบวงสรวงเจ้าแม่จามเทวี วันเปิงสังกรา (คำว่า เปิงสังกรา เป็นภาษามอญหมายถึงสงกรานต์) หรือสงกรานต์ วันลอยหะมด หรือลอยกระทง พิธีการฟ้อนผี หรือกิจกรรมพิเศษที่มีในชุมชน

ภาษา

เป็นหนึ่งวัฒนธรรมที่บ่งบอกถึงความมีอารยะและความเจริญในกลุ่มชนนั้นๆ เม็งก็เช่นกัน พวกเขามีภาษาที่ใช้สื่อสารเป็นของตนเอง หากแต่การที่อยู่ใกล้คนยองและคนเมือง ซึ่งมีจำนวนที่มากกว่า ภาษาเม็งที่เคยมีเคยใช้กันมาจึงถูกลดความสำคัญลงและหายไปบ้างสำหรับคนเม็งบางกลุ่มในพื้นที่หนองดู่-บ่อคาว เพราะหากไปถามชาวเม็ง อายุประมาณ ๓๐ ปีขึ้นไป พวกเขาจะพูดเป็นทำนองเดียวกันว่า "ฟังเม็งได้นะ พูดได้บ้าง แต่เขียนไม่ได้" ซึ่งเหตุที่ฟังและพูดได้ เพราะพ่อแม่พูด เมื่อคนอายุ ๓๐ เป็นเช่นนี้กันส่วนใหญ่ แล้วเยาวชนคนเม็งจะพูดกันได้หรือไม่...แทบจะนับคนได้เลยในชุมชนหนองดู่-บ่อคาว ที่เด็กฟังและพูดได้ จากการที่คนเม็งลืมและลดความสำคัญของภาษาซึ่งเป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมที่สำคัญ

พ่อหนานบุญมี ศรีสถิตย์ธรรมจึงต้องการที่จะให้ภาษาเม็งคงอยู่คู่กับชุมชนไปอีกนาน เมื่อประมาณ ๒ ปีที่แล้ว จึงได้ทำการแปลคำสวดจากภาษาไทยเป็นภาษาเม็งถวายพระที่วัด เพื่อใช้ในการสวดมนต์ และจากการที่เข้าร่วมกิจกรรมในวันพระที่วัด ทำให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวเม็งในเรื่องการสวดมนต์ภาษาเม็ง นอกจากนี้พ่อหนานบุญมี ยังได้ทำการสอนภาษาเม็งให้กับเยาวชนเม็งในชุมชนหนองดู่-บ่อคาวอีกด้วย เพื่อที่เยาวชนเหล่านั้นจะได้รู้จักภาษาเม็งของพวกเขาเอง และเป็นการอนุรักษ์ภาษาซึ่งเป็นวัฒนธรรมเม็งให้มีอยู่สืบไป โดยได้รับการสนับสนุนทั้งจากหลวงพ่ออวยชัย รักษาการเจ้าอาวาสวัดเกาะกลาง และพ่อแม่ผู้ปกครองคนเม็งในชุมชน ที่เห็นถึงความสำคัญในวัฒนธรรมและรากเหง้าของตน

การสอนภาษามอญให้กับเยาวชนมอญในพื้นที่ โดยพ่อหนานบุญมี ศรีสถิตย์ธรรม ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากชาวเม็งและหลวงพ่ออวยชัย สิทธิชโย (รักษาการเจ้าอาวาสวัดเกาะกลาง) ซึ่งเป็นชาวมอญในพื้นที่

คนเม็งที่หนองดู่-บ่อคาว และบางส่วนที่กอโชค-หนองครอบ จากการที่พวกเขามีสำนึกในความเป็นเม็ง จึงก่อให้เกิดวัฒนธรรม ประเพณี และพิธีกรรมต่างๆ ขึ้นมา และเราคนไทยก็น่าที่จะมีส่วนร่วมในการรักษาวัฒนธรรมประเพณีและพิธีกรรมของคนมอญ ซึ่งเป็นคนกลุ่มหนึ่งในสังคมไทย ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจในความหลากหลายทางชาติพันธุ์ของสังคมไทยด้วย

การปล่อยปลา

ชาวมอญส่วนมากมีอาชีพเกษตรกรรม การเดินทางสัญจรตามท้องทุ่ง ในบางฤดูกาลพบเห็นปลาตกคลัก เพราะขาดน้ำอยู่เสมอ จึงพากันนำไปปล่อยที่แม่น้ำ ต่อมาจึงได้กลายเป็นประเพณีปล่อยปลาในวันสงกรานต์เพราะ เดือนเมษายนของไทยเป็นเดือนแห่งการขาดฝน พิธีกรรมปล่อยปลาถือเป็นการช่วยต่ออายุสัตว์ ชาวมอญจึงถือ ว่าการปล่อยปลาในวันสงกรานต์ เป็นการสะเดาะเคราะห์ช่วยต่ออายุของผู้กระทำ และเป็นการนำตนไปประสบโชคดี หลังวันที่ ๑๕ เมษายนแล้ว จะมีขบวนแห่ปลาและนก ของชาวไทยเชื้อสายมอญที่ บ้านเกราะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี หนุ่มสาวจะแต่งตัวกันอย่างงามพริ้ง หิ้วถังปลา หรือโถแก้วใส่ปลาและกรงนกที่ตกแต่งสวยงาม เดินเป็นขบวนนำปลาไปปล่อยที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส และปล่อยนกที่บริเวณลานวัดนั่นเอง

ตำนานการปล่อยปลา

ตำนานกล่าวว่า เมื่อโบราณกาลมีพระอาจารย์รูปหนึ่งมีลูกศิษย์หลายคน พระอาจารย์มี ความชำนาญในการทายโชคชะตาราศี วันหนึ่งได้ตรวจดวงชะตาศิษย์รักก็ทราบว่าอยู่ในเกณฑ์อายุ ถึงฆาตจะต้องตายในไม่ช้า ด้วยความสงสารจึงบอกให้เณรน้อยกลับไปเยี่ยมบ้าน เพื่อเยี่ยมโยม บิดามารดาเป็นครั้งสุดท้าย โดยมิได้บอกเรื่องดวงชะตา สามเณรดีใจออกเดินทางเพื่อกลับไปยังบ้านของตน ระหว่างทางได้ผ่านหนองน้ำที่มีน้ำแห้งขอด มีปลาตกคลักเป็นจำนวนมากจึงจับปลาเหล่านั้นไปปล่อยแม่น้ำให้รอดตายทุกตัว จากนั้นจึงเดินทางต่อไปจนถึงบ้าน เยี่ยมโยมบิดามารดาอยู่นานพอสมควรจึงเดินทางกลับมายังสำนักอาจารย์ ฝ่ายอาจารย์เห็นศิษย์กลับมาอย่างปลอดภัย ก็แปลกใจจึงสอบถามเรื่องราวต่างๆ เมื่อทราบว่าลูกศิษย์ได้ประกอบความดีด้วยเมตตาจิต ด้วย การช่วยชีวิตปลาจึงรอดปลอดภัยมาได้

การทำบุญกลางหมู่บ้าน

การทำบุญกลางบ้าน มอญเรียกว่า "ป๊ะย์กาวซา อะโต่ห์กวาน" การทำบุญนี้จะ ทำกันในหมู่บ้านเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชาวบ้านและหมู่บ้าน การทำบุญกลางบ้านจะจัดขึ้นหลังวันที่ ๑๕ เมษายน มีการเลี้ยงพระในตอนเช้า ชาวบ้านในหมู่บ้านจะช่วยกันจัดอาหารมาถวายพระ และเลี้ยงกันในหมู่ชาวบ้าน ก่อนสงกรานต์ประมาณหนึ่งสัปดาห์ มีการเตรียม การกวนกาละแม ซึ่งเป็นขนมที่ต้องใช้แรงคนมากในการทำ นอกจากกวนกาละแมแล้ว จะมี การกวนข้าวเหนียวแดง ข้าวเหนียวแก้ว ซึ่งเป็นขนมสำหรับทำบุญในเทศกาลนี้ นอกจากขนมแล้วยังมีการทำขนมจีน หรือ "หะนอมจิน" ซึ่งเป็นอาหารของมอญแต่โบราณกาลมาแล้วเพื่อ เตรียมทำบุญด้วย เมื่อได้ทำบุญกลางบ้านแล้ว การเฉลิมฉลองการขึ้นศักราชใหม่ยังคงมีต่อ เนื่องไปอีกด้วยการจัดทำพิธีทำบุญสรงน้ำพระ

ทะแยมอญ

ทะแยมอญ เป็นเพลงพื้นบ้านเก่าแก่ของชาวไทยเชื้อสายมอญที่ ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอ ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เนื้อร้อง และท่วงทำนองเป็นภาษามอญ แต่อาจมีภาษาไทยปนบ้างใน บางตอน เนื้อร้องจะเป็นการเกี้ยวพาราสี ต่อปากต่อคำ ระหว่างชายหญิงก็ได้ หรือข้อธรรมะโต้ตอบกัน ชมนกชมไม้ ทั้งนี้แล้วแต่ว่าผู้ร้อง จะดำเนินเรื่องไปอย่างไร มีการรำประกอบด้วยแต่ไม่เป็นแบบแผนตายตัว ทะแยมอญเล่นได้ทั่วไป ทั้งในโอกาสที่เป็นงานมงคล และงานอวมงคลหรือในวาระที่ต้องการความสนุกสนานครึกครื้น เช่นในเทศกาลสงกรานต์ ไม่จำเป็นต้องเป็นงานพิธี


ที่มาของพระราชประวัตินี้
. ชินกาลมาลีปกรณ์ ฉบับหอสมุดแห่งชาติ
. สังคีติยวงศ์
. จามเทวีวงศ์
(คัดลอกจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดลำพูน-บ้านมอญหนองดู่ /monstudied)

 ***************

Monlamphun ขอขอบพระคุณทุกๆ เว็บไซต์ ทุกๆ บทความที่ได้เผยแพร่เกียรติประวัติ เกียรติคุณของ

มอญบ้านหนองดู่-มอญบ้านบ่อคาว ซึ่ง แว่น มัฆวาน ในฐานะที่เป็นลูกหลานเม็งคะบุตร เห็นว่ากระจัดกระจายกันอยู่หลายที่หลายแห่ง จึงได้รวบรวมนำมาเสนอไว้ ณ ที่นี้ เพื่อให้อนุชนได้ทราบ และเป็นการย้ำเตือนความทรงจำของ
มอญบ้านหนองดู่ - มอญบ้านบ่อคาว
   
ซึ่งเป็น...

หนึ่งเดียวในจังหวัดลำพูน


หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ผิดพลาด หรือไม่ถูกต้อง ขอท่านผู้รู้ทั้งหลาย กรุณาแนะนำ ติชม เพื่อที่จะได้แก้ไข
ให้ถูกต้องต่อไป....
ขอกราบขอบพระคุณ..

"แว่น มัฆวาน"

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ประวัติหมู่บ้านหนองดู่-บ้านบ่อคาว





ความเป็นมา


ชุมชนชาวมอญแห่งเดียวในภาคเหนือตอนบนที่อยู่ในเขตจังหวัดลำพูน คือบ้านหนองดู่-บ้านบ่อคาว หมู่ที่ ๑ และหมู่ที่ ๘ ตำบลบ้านเรือน อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ความจริงแล้ว มอญที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ณ เวลานี้มีอยู่หลายแห่งหลายที่ ถ้าจะย้อนประวัติศาสตร์แล้ว ชาติภูมิของชนชาวมอญนั้นอยู่ที่เมืองหงสาวดี ประเทศพม่า และเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า ชนชาติมอญนั้นเป็นชนชาติที่รักความสงบและสร้างสมอารยธรรมความเจริญต่างๆ ไว้มากมาย ทั้งด้านวัฒนธรรม ศาสนา และการค้า ชนชาติมอญมิได้เตรียมตัวเพื่อการสงครามเลย อาณาจักรมอญจึงพ่ายแพ้และตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าในปี พ.ศ.๑๖๐๐ จะเห็นได้ว่าอาณาจักรมอญในพม่ามีอายุยืนยาวมากกว่าในประเทศไทย เมื่อพม่ามีชัยชนะเหนือมอญ

การอพยพของขาวมอญเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งได้มีบันทึกไว้เป็นทางการอย่างแน่นอนเป็นครั้งแรกใน พ.ศ.๒๑๒๗ คือหลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพ ณ เมืองแครง และการอพยพยังคงมีติดต่อกันมาเรื่อยๆ  อีกหลายครั้ง

และบางตำราปรากฏว่า ชาวมอญบ้านหนองดู่นั้นติดสอยห้อยตาม “องค์เจ้าแม่จามเทวี” เพราะตามประวัติ (บางฉบับ) นั้น องค์เจ้าแม่จามเทวี ประสูติที่บ้านหนองดู่ และไปเติบโตที่เมืองละโว้ ลพบุรี

 

 ประวัติหมู่บ้านหนองดู่-บ้านบ่อคาว

หมู่บ้านหนองดู่-บ้านบ่อคาว เป็นหมู่บ้านชาวมอญที่มีอายุเก่าแก่หลายร้อยปีแห่งหนึ่งในจังหวัดลำพูน ตั้งอยู่ในเขตตำบลบ้านเรือน อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน อยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ ๖ กิโลเมตร และห่างจากตัวจังหวัดประมาณ ๑๕ กิโลเมตร สาเหตุที่ได้ชื่อว่าหมู่บ้านหนองดู่ ก็เนื่องมาจากในอดีตกาลที่ผ่านมา ภายในหมู่บ้านมีหนองน้ำกว้างใหญ่และลึก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่บ้าน และมีต้นประดู่ใหญ่ขึ้นอยู่ริมหนองน้ำ ชาวบ้านจึงเรียกว่าหมู่บ้านหนองดู่ซึ่งในภาษามอญที่ใช้พูดกันในหมู่บ้านนั้นจะเรียกว่า กวานหนองดู่

แรกเริ่มเดิมทีเป็นหมู่บ้านร้างและภายในหมู่บ้านแห่งนี้มีวัดร้างวัดหนึ่งคือวัดเกาะกลาง เป็นวัดเก่าแก่มากมีหนองน้ำล้อมรอบบริเวณวัด สังเกตจากสิ่งปลูกสร้างและสภาพวัดสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นหมู่บ้านและวัดที่เจริญมาก่อน เพราะมีลักษณะการปลูกสร้างอย่างวิจิตรพิสดาร  จากตำนานการสร้างวัดเกาะกลาง ซึ่งก็คือหมู่บ้านหนองดู่ในสมัยนั้นได้กล่าวไว้ว่า วัดนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๑๑๗๖ โดยตระกูลของท่านเศรษฐีอินตา พระบิดาของพระนางจามเทวีซึ่งตามประวัติองค์เจ้าแม่จามเทวี มีเชื้อชาติมอญบ้านหนองดู่โดยกำเนิด จึงสันนิษฐานได้ว่า ในสมัยก่อนคงจะมีชาวบ้านมอญอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณบ้านหนองดู่-บ้านบ่อคาวแห่งนี้ และกาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามวัฏจักร จึงได้รกร้างไประยะหนึ่ง

ต่อมาราวปี พ.ศ. ๒๒๕๖ ได้มีชาวมอญอพยพมาจากกรุงเมาะตะมะและหงสาวดี (ประเทศพม่าในปัจจุบัน) ประมาณ ๖-๗ ครอบครัว ได้มาทำไร่ทำสวนและทำขนมจีนขายเป็นอาชีพ นอกจากนี้ชาวบ้านที่เป็นผู้ชายและเป็นหัวหน้าครอบครัว ยังมีอาชีพเสริมคือรับจ้างทำแพและล่องแพ ขนส่งสินค้าตามลำน้ำปิงไปยังจังหวัดตาก-นครสวรรค์ จนเป็นที่เลื่องลือกันว่า ชาวบ้านหนองดู่เป็นผู้ชำนาญในการล่องแพ ถ้าพ่อค้าคนใดจะขนสินค้าไปทางน้ำก็มักจะว่าจ้างชาวบ้านหนองดู่เป็นผู้ล่องแพเพื่อนำสินค้าไปส่งให้ (ส่วนมากจะเป็นพ่อค้าจากจังหวัดเชียงใหม่)

จากตำนานและคำบอกเล่าของผู้สูงอายุในหมู่บ้านสืบๆ ต่อกันมาพอประมาณและพอได้เค้าว่า ราวปี พ.ศ. ๒๓๒๑ มีพระเดินธุดงค์มาจากเมืองเมาะตะมะรูปหนึ่งชื่อ พระรั่ว มาครองวัดในหมู่บ้านหนองดู่ ตามหลักฐานที่ปรากฏ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวถึงบ้านหนองดู่ ไว้ในหนังสือล่องน้ำปิงว่า บ้านหนองดู่เป็นหมู่บ้านมอญ มีวัดโบราณ ๒ วัด คือวัดดอน (เกาะกลาง) เรียกชื่อวัดเดิม มีพระเจดีย์ก่ออิฐสี่มุข พระเจดีย์ทรงกลมลายปั้นงานทำนองจะเป็นวัดหลวงมาก่อน และอีกวัดหนึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เป็นวัดเก่าแก่แต่ปฏิสังขรณ์ใหม่ ก็คือวัดหนองดู่ขณะนี้ แสดงว่าวัดหนองดู่เป็นวัดเก่าสร้างมานาน การบูรณปฏิสังขรณ์วัดก็เป็นไปตามยุคสมัยของพระปกครองที่ได้รับการอุปถัมภ์จากเจ้านายผู้ใหญ่คือยุคของท่านครูบาญาณกิตติ (กิ) อยู่ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๔๑ ถึง
พ.ศ. ๒๔๘๔

พระภิกษุที่เป็นเจ้าอธิการปกครองและปฏิสังขรณ์วัดแบ่งได้เป็น ๒ ยุค ยุคแรก พระส่วนมากจะมาจากเมืองรามัญ ซึ่งปรากฏมีหลักฐานอยู่ ๔ องค์ คือ  ๑.พระรั่ว  ๒.พระอุตตมะ  ๓.พระครูบาปัญญา  ๔.ท่านครูบาแดง  ท่านองค์หลังนี้ในบั้นปลายชีวิตได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตร (แต่ไม่ปรากฏราชทินนาม)

ยุคหลังเริ่มจากท่านครูบาญาณกิตติ เป็นเจ้าอาวาส มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากคณะมหานิกาย เป็นคณะธรรมยุติกนิกาย ดังหลักฐานลงวันที่ ๒๔ ก.พ. ๒๔๘๑

หลังจากชาวบ้านมีที่อยู่ที่ทำกินเป็นหลักแหล่งแล้ว ก็ได้พากันสร้างสำนักสงฆ์ขึ้น ในบริเวณที่เป็นวัดหนองดู่ปัจจุบันจึงกลายเป็นว่าหมู่บ้านหนองดู่มีวัด ๒ แห่ง วัดหนึ่งคือวัดเกาะกลาง ซึ่งชาวบ้านช่วยกันบูรณะเรื่อยมา วัดเกาะกลางแห่งนี้อยู่ติดกับบ้านบ่อคาวในปัจจุบัน ส่วนอีกแห่งคือสำนักสงฆ์วัดหนองดู่ ชาวบ้านก็มีศรัทธาทั้ง ๒ วัด และในปี พ.ศ.๒๕๑๗ คณะศรัทธาชาวบ้านนำโดย พระอุดม  บุญช่วย คุณสงวน  ปัญญา และ คุณดวงจันทร์  เขียวพันธุ์ ได้ร่วมกันบูรณะวัดเกาะกลางขึ้นใหม่ โดยมีพระราชพิศาลมุนี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมกุฏกษัตริยาราม และพระครูใบฎีกาสมศักดิ์ สุกิตติโก วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กรุงเทพมหานคร เป็นหัวเรี่ยหัวแรงและช่วยกันพัฒนาทางเข้าวัดให้สะดวกขึ้น

หมู่บ้านหนองดู่ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่มี ๒ วัดมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งในปี พ.ศ.๒๕๒๖ ได้มีการแยกเป็น ๒ หมู่บ้าน เนื่องจากชาวบ้านมีความคิดเห็นตรงกันว่า เพื่อความสะดวกในด้านการปกครอง และด้านการพัฒนาจึงแบ่งแยกหมู่บ้านหนองดู่ออกเป็น ๒ หมู่บ้าน คือ บ้านหนองดู่ หมู่ที่ ๑ ในปัจจุบัน และบ้านบ่อคาว หมู่ ๘ ที่แยกออกไป

ถึงแม้ว่าหมู่บ้านจะถูกแบ่งออกเป็น ๒ หมู่บ้านแล้วก็ตาม ชาวบ้านทั้ง ๒ หมู่บ้านก็มิได้มีการแตกแยกกันแต่อย่างใด เพราะเนื่องจากต่างก็เป็นญาติชาวมอญด้วยกัน และได้ผู้นำชุมชนในสายงานการปกครองที่เข้มแข็ง เป็นผู้คอยประสานให้ชาวมอญในชุมชนทั้ง ๒ หมู่บ้าน มีความรักใคร่ สามัคคี และประสานงานให้เกิดการทำกิจกรรมร่วมกันโดยตลอด มีความคิดเห็นตรงกันว่า “เราจะร่วมอนุรักษ์ชุมชนและวัฒนธรรมชาวมอญที่มีมาทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ให้อยู่คู่ลูกหลานตลอดไป” เนื่องจากในจังหวัดลำพูนมีชาวมอญอาศัยอยู่เพียง ๒ แห่งเท่านั้นคือ บ้านหนองดู่ หมู่ที่ ๑ และบ้านบ่อคาว หมู่ที่ ๘ ตำบลบ้านเรือน อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน

ปัจจุบันวัดหนองดู่เป็นที่พำนักของพระสงฆ์ และเป็นแหล่งเผยแผ่พุทธศาสนาของพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย และเมื่อสมัยเริ่มสร้างวัดบูรณะวัดใหม่ๆ ได้มีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ช่วยอุปถัมภ์บำเพ็ญกุศลมาแล้วหลายท่าน เช่น พระราชชายาเจ้าดารารัศมี พระราชชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ , สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อสมัยเสด็จล่องน้ำปิง เป็นต้น

วัดหนองดู่เป็นวัดที่พำนักของพระมหาเถระหลายรูปในอดีต อาทิ พระเดชพระคุณพระราชนิโรธรังสี (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย พระเดชพระคุณพระธรรมดิลก (ขันติ์ ขนฺติโก) อดีตเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ พระเดชพระคุณพระอุดมญาณโมลี เจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี พระปลัดทองสุข ธมฺมคุตฺโต ผู้เซ็นรับอัฐิธาตุหลวงปู่มั่น ภูริทฺตโต อันดับ ๘ ในนามวัดหนองดู่ เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๓ ที่วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร เป็นต้น

จากการที่มีพระมหาเถระหลายรูปได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองดู่แห่งนี้มาก่อน บางรูปก็มรณภาพ บางรูปก็ไปเผยแผ่พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จังหวัดอื่น จากนั้นก็มีพระที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขชาวมอญบ้านหนองดู่ เป็นพระนักเผยแผ่ พระนักพัฒนา พระผู้เคร่งครัดในธรรมวินัย ที่ประชาชนทั้งภายในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้าน ให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก พระเถระรูปนั้นก็คือ ท่านพระครูพิมลวินัยกิจ (ชำนาญ  ฐิตธมฺโม) แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ท่านด่วนมรณภาพไป วัดหนองดู่ก็ไม่มีเจ้าอาวาส มีแต่พระที่รักษาการแทน คือ พระอภัย อาจาโร และต่อมาก็ได้ลาสิกขาไป เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ หลวงพ่ออ้วน มหาปุญฺโญ รักษาการต่อมาจนกระทั่งมีท่านพระครูวิชาญศาสนคุณ (วิชาญ  ญาณยุตฺโต-จันทรา) หลังจากที่ท่านได้อุปสมบทแล้วออกธุดงค์เดินทางขึ้นมาภาคเหนือ และได้ไปพำนักที่วัดหนองดู่ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๘ เป็นต้นมา

ท่านพระครูวิชาญศาสนคุณ ยังมีโครงการที่จะพัฒนาอีกหลายด้านและหลายโครงการ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่า ความไม่จีรังยั่งยืนของสังขารมาบั่นทอนโครงการเหล่านั้น ท่านพระครูวิชาญศาสนคุณ ได้มรณภาพเมื่อช่วงบ่ายสามโมงเย็นของวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ภายในกุฏิเจ้าอาวาส ด้วยอาการเส้นเลือดในหัวใจและสมองแตก ได้ทำพิธีพระราชเพลิงศพของท่านเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๑

จากนั้นคณะศรัทธาประชาชน ได้อาราธนาท่านพระครูโสภณเจติยาภิบาล จากวัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ มาดำรงตำแหน่ง รักษาการเจ้าอาวาสวัดหนองดู่ เจ้าคณะตำบลบ้านเรือน (ธ) เป็นผู้สืบสานสร้างงานต่อและก่องานใหม่จากพระครูวิชาญศาสนคุณ เพื่อให้วัดหนองดู่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคณะศรัทธาประชาชนชาวบ้านหนองดู่ ดังเช่นพระเถรานุเถระในอดีตได้กระทำมาแล้ว

สุจิต  ญาณะเผือก

 

***************

Monlamphun ขอขอบพระคุณทุกๆ เว็บไซต์ ทุกๆ บทความที่ได้เผยแพร่เกียรติประวัติ เกียรติคุณของ
มอญบ้านหนองดู่-มอญบ้านบ่อคาว ซึ่ง แว่น มัฆวาน ในฐานะที่เป็นลูกหลานเม็งคะบุตร เห็นว่ากระจัดกระจายกันอยู่หลายที่หลายแห่ง จึงได้รวบรวมนำมาเสนอไว้ ณ ที่นี้ เพื่อให้อนุชนได้ทราบ และเป็นการย้ำเตือนความทรงจำของ
มอญบ้านหนองดู่ - มอญบ้านบ่อคาว
   
ซึ่งเป็น...
หนึ่งเดียวในจังหวัดลำพูน


หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ผิดพลาด หรือไม่ถูกต้อง ขอท่านผู้รู้ทั้งหลาย ได้กรุณาแนะนำ ติชม เพื่อที่จะได้แก้ไข
ให้ถูกต้องต่อไป....
ขอกราบขอบพระคุณ..

                                                          
"แว่น มัฆวาน"