บ้านหนองดู่ – บ้านบ่อคาว
ชุมชนมอญกลุ่มสุดท้ายในลำพูน
-----------------
อาทิตย์นี้ตาม
“พันแสงรุ้ง” ขึ้นเหนือ
ไปกันที่ดินแดนหริภุญชัย จ.ลำพูน
ตามร่องรอยอารยธรรมมอญที่เคยยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองในแถบนี้
ทุกวันนี้คนมอญที่ลำพูนมีอยู่ไม่ถึง
๑,๐๐๐ คน นับวันก็ยิ่งจะถูกกลืนไปกับคนพื้นเมืองกลุ่มอื่นๆ แต่นับว่าโชคดีที่มีลูกหลานมอญกลุ่มหนึ่งพยายามรักษาและช่วยกันฟื้นฟูกอบกู้จิตวิญญาณมอญให้กลับคืนมา
ทำไม? คนมอญที่ลำพูนถึงลุกขึ้นมาต่อลมหายใจความเป็นมอญของตัวเอง
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในสังคมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
พวกเค้าจะทำอย่างไร?
ชุมชนคนมอญแห่งเมืองหริภุญชัยกลุ่มสุดท้ายที่ยังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่วัดเกาะกลางแห่งนี้น่าจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการสืบค้นอดีต
แม้ว่าคนมอญส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนี้จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตให้เข้ายุคสังคมในปัจจุบันไปแล้วก็ตาม
แต่ด้วยสายเลือดของคนมอญที่ฝังรากอยู่ในมโนสำนึกแล้วทุกๆ
ปีชาวบ้านเกาะกลางจะจัดงานเทศกาล “ฟ้อนผีเม็ง” ซึ่งเป็นวัฒนธรรมเดียวที่ยังถูกถ่ายทอดมาจนถึงลูกหลานเป็นการสานต่อวัฒนธรรมของพวกเขาไว้ไม่ให้สูญสลาย
มีหลักฐานเอกสารยืนยันว่า
คนมอญมาจากเมืองตะแลงคนาซึ่งอยู่ในแถบอินเดียตอนใต้
ก่อนจะอพยพย้ายมาอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดี เมืองหงสาวดี แล้วตั้งเป็นอาณาจักรขึ้นเรียกว่า
“อาณาจักรพยู” ตอนหลังถูกพม่าเข้ารุกรานและได้อพยพหนีเข้ามาอยู่ในสยาม
โดยเข้ามาตั้งรกรากครั้งแรกที่บริเวณจังหวัดนครปฐม ต่อมาได้กระจายออกไปตามที่ต่างๆ
ในประเทศ
นอกจากนี้ยังมีการขุดพบหลักฐานที่นครปฐมเป็นเหรียญเงินซึ่งปรากฏอักษรมอญไว้ว่า
“เย ธมฺมา ศรีทวารวติ” ซึ่งก็ไปสอดคล้องกับชื่อของเมืองทวารวดี
ทำให้ทราบว่ากลุ่มคนมอญเคยมีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนในสมัยทวารวดีเมื่อก่อนศตวรรษที่
๑๕
สำหรับกลุ่มคนมอญที่เข้ามาอยู่ในหริภุญชัย
สันนิษฐานว่าเข้ามาเมื่อราวศตวรรษที่ ๑๖
ปัจจุบันยังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่วัดเกาะกลาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน
ซึ่งน่าจะเป็นคนมอญกลุ่มสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่
ชุมชนมอญบ้านหนองดู่-บ้านบ่อคาว
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง ในเขต อ.ป่าซาง จ.ลำพูน
เป็นชุมชนมอญอีกแห่งหนึ่งที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณี รวมถึงสำเนียงเสียงภาษามอญ
แม้ว่าชุมชนบ้านหนองดู่-บ้านบ่อคาว จะเป็นชุมชนมอญขนาดเล็ก
แต่ก็รักษาขนบประเพณีมอญเอาไว้เป็นอย่างดี
ความเชื่อของชาวมอญที่นี่
พวกเขาเชื่อว่าอพยพมาจากเมืองมอญ ในประเทศพม่าโดยตรง
อย่างไรก็ตามนักวิชาการหลายท่านสันนิษฐานว่า
ชาวมอญบ้านหนองดู่-บ้านบ่อคาว สืบเชื้อสายมาจากชาวมอญในสมัยหริภุญชัย พร้อมๆ
กับการกำเนิดของพระนางจามเทวี
ตามตำนานโยนกนคร
กล่าวว่า “พระนางจามเทวีทรงสมภพเมื่อเวลาจวนจะค่ำ วันพฤหัสบดี เดือน ๕ ปีมะโรง
ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ปี พ.ศ.๑๑๗๖ โดยประสูติที่บ้านหนองดู่ (นครบุรพนคร)
เป็นชาวเมงคบุตร ดังนั้นชาวมอญที่นี่จึงนับถือพระนางจามเทวีเป็นเสมือนบรรพบุรุษ
และทุกปีจะมีพิธีบวงสรวงวิญญาณเจ้าแม่จามเทวี อันเป็นประเพณีที่ชาวมอญยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา
ซึ่งจะทำพิธีภายในเดือน ๔ ของมอญ (ปอน=๔) เดือน ๕ ของล้านนา
หรือราวเดือนกุมภาพันธ์
เอกลักษณ์ของชาวมอญบ้านหนองดู่-บ้านบ่อคาวที่ยังคงสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันก็คือ
การแต่งกายและภาษา คนมอญนิยมเรียกตนเองว่า “เมง” การแต่งกายของคนเมงคือ
ผู้ชายจะใส่โสร่ง มีผ้าขาวม้าคาดบ่า สวมเสื้อคอมน ผู้หญิงจะใส่ชุดลูกไม้สีชมพู
หากแต่ปัจจุบันการแต่งกายจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือ
ใส่โสร่ง การแต่งกายแบบมอญจะมีในโอกาสพิเศษเท่านั้น เช่น
งานวันบวงสรวงเจ้าแม่จามเทวี วันเปิงสังกรา (วันสงกรานต์) วันลอยหะมด
(วันลอยกระทง) และวันฟ้อนผีเท่านั้น
ส่วนภาษาของชาวมอญก็ยังคงมีการสื่อสารกันอยู่
โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ ทว่าปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่ได้ให้ความสนใจในการพูด – เขียนภาษามอญมากยิ่งขึ้น
ในรายงานวิชาการเรื่องการขุดแต่งเจดีย์ประธานวัดเกาะกลาง
โดยวิวรรณ แสงจันทร์ นักโบราณคดีอิสระ กล่าวถึงวัดเกาะกลางว่า
“เดิมเป็นวัดร้างตั้งอยู่กลางทุ่งนาในเขตบ้านบ่อคาว ต.บ้านเรือน
อ.ป่าซาง จ.ลำพูน วัดนี้มีเรื่องเล่าเชิงมุขปาฐะสืบต่อมาว่า
เป็นวัดที่สร้างโดยเศรษฐีอินตา เชื้อสายมอญซึ่งเป็นบิดาของพระนางจามเทวี
ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญชัย ต่อมาถูกทิ้งร้างโดยไม่ทราบสาเหตุ”
วัดเกาะกลางในอดีตเคยเป็นวัดของคนมอญสร้างขึ้นอยู่กลางน้ำ
รอบๆ วัดเป็นหนองน้ำกว้างใหญ่ จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๑๗ พระมหาสงวน ปัญญา
วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ พระมหาดวงจันทร์ เขียวพันธ์ วัดพระศรีมหาธาตุ กรุงเทพฯ และพระอุดม
บุญช่วย จากวัดหนองดู่ ลำพูน ได้เข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัดเกาะกลางซึ่งเป็นวัดร้างและมีโบราณสถานอยู่เป็นจำนวนมาก
ปัจจุบันวัดเกาะกลางเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่
เมื่อเดินทางเข้ามาในวัดจะพบกับโบราณสถานที่สำคัญซึ่งเป็นเจดีย์ประธานทรงล้านนาที่มีลวดลายปูนปั้นค่อนข้างชัดเจนมาก
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นเจดีย์ทรงปราสาทยอดระฆัง สร้างขึ้นบนฐานเขียงสี่เหลี่ยม
องค์เรือนธาตุแต่ละด้านมีซุ้มจรนำยื่นออกมาจนมีลักษณะเป็นมุข
ที่เสากรอบมุขและหลังคาประดับด้วยลวดลายปูนปั้นรูปพรรณพฤกษา
จากลวดลายปูนปั้นของเจดีย์องค์นี้เรียกได้ว่า
น่าจะเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่จะสามารถสืบค้นอายุของเจดีย์ได้
ลวดลายพรรณพฤกษาและลายเมฆไหลที่พบประดับกรอบซุ้มจรนำด้านเหนือของเจดีย์ประธานวัดเกาะกลางนั้น
เป็นงานประติมากรรมฝีมือช่างสกุลล้านนาที่มีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับการรับเอาพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์มาจากสุโขทัย
ดังนั้นนักโบราณคดีจึงสันนิษฐานว่า ประติมากรรมปูนปั้นที่ประดับองค์เจดีย์ประธาน
เป็นประติมากรรมที่เกิดขึ้นในช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๐
หรือหลังสิ้นแผ่นดินพระเจ้าติโลกราช
นอกจากนี้รอบๆ
วัดเกาะกลางยังปรากฏเจดีย์ต่างๆ และโบราณสถานอีกกว่า ๗ แห่ง โดยเฉพาะเจดีย์หมายท่าที่อยู่ปากทางเข้าวัด
เจดีย์หมายท่านี้น่าจะหมายถึงท่าน้ำบ้านหนองดู่
ที่ด้านหน้าวัดยังมีเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมมีเสาแกนกลางเพื่อรับน้ำหนักซึ่งไม่เคยปรากฏรูปแบบที่ใดมาก่อนตั้งอยู่บนเนินดิน
ในวัดยังมีซุ้มประตู ฐานอุโบสถและรากหรือฐานกำแพงวัดตลอดจนสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ
เป็นเศษอิฐจมอยู่ใต้ดินเป็นจำนวนมาก
กลุ่มโบราณสถานภายในวัดเกาะกลางที่พบ
แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มคือ
กลุ่มโบราณสถานที่อยู่ภายในบริเวณวัด
กลุ่มโบราณสถานที่อยู่รอบๆ วัด
รูปแบบของโบราณสถานที่ปรากฏอยู่ในวัดเกาะกลาง
เป็นศิลปกรรมล้านนาคือตัวเจดีย์เป็นทรงมณฑปแบบล้านนา ข้างล่างเป็นฐานจัตุรมุข
ข้างบนเป็นทรงระฆังคว่ำ ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน แต่ยังไม่ได้เข้ามาบูรณะซ่อมแซม
ชุมชนคนมอญแห่งเมืองหริภุญไชยกลุ่มสุดท้ายที่ยังปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่วัดเกาะกลางแห่งนี้
น่าจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการสืบค้นอดีต
แม้ว่าคนมอญส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนี้จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตให้เข้ายุคสังคมในปัจจุบันไปแล้วก็ตาม
แต่ด้วยสายเลือดของคนมอญที่ฝังรากอยู่ในมโนสำนึกแล้ว ทุกๆ ปีชาวบ้านบ่อคาว วัดเกาะกลาง
จะจัดงานเทศกาลฟ้อนผีเม็งซึ่งเป็นวัฒนธรรมเดียวที่ยังถูกถ่ายทอดมาจนถึงลูกหลาน เป็นการสานต่อวัฒนธรรมของพวกเขาชาวมอญ
“หนึ่งเดียวในจังหวัดลำพูน” ไว้ไม่ให้สูญสลาย
jakrapong@chiangmainews.co.th.
ที่มา http://www.chiangmainews.co.th/page/?p=๔๒๔๘๘
ภาพจาก http://www.peace.mahidol.ac.th/th/index.php?option=com_content&task=view&id=๖๒๙&Itemid=๑๗๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น